วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

การพ่นสีด้วยเครื่องพ่นสีเราก็สามารถกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจได้

พื้นที่ชีวิตกับป๊อตโมเดิร์นด๊อกเป็นพิธีกร กับตอนภูเขาแห่งพุทธะ พี่เขาเริ่มศึกษาธรรมะตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเนื่องมาจากว่าเป็นคนที่โกรธง่ายอารมณ์ไม่ดีบ่อยเวลาทำงานไม่ดีก็จะโมโหง่าย เช่นการใช้เครื่องพ่นสีทำศิลปะ ก็เลยอยากจะหาวิธีว่าอะไรที่จะทำให้เรามีความสุข มีวิธีอย่างไร ตอนนั้นก็อาศัยหนังสือแถวท่าพระจันทร์เพราะไปติวศิลปะบ่อย ก็เลยอยากสนใจ สนใจจากการอ่านหนังสือ แต่ก็เหมือนกับว่าได้ศึกษาแค่พื้นๆ ก็ได้แค่อ่านแต่ไม่เคยที่จะปฏิบัติจริงเลย ก็เลยคิดว่าไปบวชเพื่อทดลองกับสระน้ำจริงๆเลยดีกว่า หลังจากการบวชก็ได้นำวิชาที่ได้เรียนเวลาบวชมาใช้ เช่นการกำหนดลมหายใจ กำหนดให้เรามีสติอยู่เสมอ พยายามที่จะทำต่อหลังจากการสึกออกมา สังเกตุตัวเองให้ทัน มันก็ทำให้ชีวิตคลี่คลายได้ เราเคยได้ศึกษาธรรมมาแต่เคยทบทวนตัวเองว่าเราได้เดินทางสู่เส้นทางพุทธธรรมแท้จริงหรือไม่ เชื่อกันไหมว่าห้าสิบปีก่อน ท่านพุทธทาสได้มาแสดงปาถกฐาธรรมที่กรุงเทพมหานคร ที่พุทธสมาคม การแสดงปาถกฐาธรรมที่กรุงเทพครั้งนี้ได้สร้างการถกเถียงอย่างกว้างขวาง เพราะท่านได้สอนว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสิ่งที่ปิดกั้นการเรียนรู้พระธรรมอย่างแท้จริง ท่านเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าภูเขาแน่นอน บางคนก็กล่าวหาท่านว่าโดนคอมมิวนิสต์จ้างมาสอน ในขณะที่นักคิดหลายคนไม่ว่าจะเป็น ปรีดี พนมยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ วิลาส มณีวัฒน์ หรือสัญญา ธรรมศักดิ์ ต่างสนใจ และช่วยเผยแพร่ความคิดอย่างนี้ให้แพร่หลาย อ.ส ศิวรักษ์ ก็เห็นด้วยว่า เราควรรู้จักภูเขา เพื่อที่จะเรียนรู้มัน ท่านพุทธทาส ท่านมีความสามารถพิเศษอย่างยิ่งในการเทศน์ คือพูดให้ช็อคคน เป็นพระท่านแรกที่ยืนเทศน์ แต่พระวินัยถือว่าการยืนเทศน์เป็นอาบัติแต่ท่านยอมอาบัติเพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย การที่ท่านมาเทศน์ที่กรุงเทพท่านว่า พระพุทธรูปเป็นภูเขากั้นพุทธธรรม คนตกใจกันมาก กล่าวหาทานพุทธทาสว่าจาบจ้วง และต่างๆ
อ.สศิวรักษ์ก็กล่าวอีกว่า สามร้อยปีหลังพระพุทธเจ้านิพพานไม่มีพระพุทธรูปสักองค์เลย ท่านพุทธทาสก็ทำให้เป็นตัวอย่างเลยที่สนนโมกข์ มีแต่พุทธประวัติที่ปราศจากพระพุทธรูป เพราะรูปนั้นมีทั้งคุณและโทษ ถ้าไม่ระวัง คนจะติดในรูป ไม่สนใจเนื้อหาสาระในแก่นธรรม เพราะถ้าไปติดในรูปแล้ว หารูปไม่ว่ารูปนั้นให้โทษมากกว่าให้ทุน ยิ่งไปมอบเมา เรี่ยไรเงินชาวบ้าน ไปบอกว่าทำบุญเท่านั้นเท่านี้แล้วจะเห็นพระพุทธเจ้า มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก ลองนึกดูสิว่าคนที่ไปกราบไหว้พระพุทธเจ้านั้นนึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป อีกนัยหนึ่งมันเป็นหนทางที่ไม่สามารถเข้าถึงพุทธธรรมเป็นอย่างยิ่งมันเป็นเรื่องขอไสยศาสตร์อาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยทางด้านจิตใจ เช่นการบนบาล ศาลกล่าว แต่ไม่ได้เดินเข้าหาทางพุทธ พระพุทธรูปนั้นถ้าเราเดินไม่ระวังแล้วมันจะให้โทษมากกว่าให้คุณ ตอนนี้ในประเทศไทยมีพระพุทธรูป และพระเครื่องมากกว่าพระภิกษุสงฆ์เสียอีก และคุณภาพของพระภิกษุสงฆ์ตอนนี้แย่มาก ฝ่ายสงฆ์ก็ดี ฝ่ายรัฐบาล และประชาชนก็ดีไม่สนับสนุนสร้างพระสงฆ์ดีๆขึ้นมาเลย มัวแต่สนับสนุนสร้างแต่วัตถุ สร้างเครื่องรางของคลัง พุทธธรรมดีๆจึงไม่เกิดพุทธธรมหมายถึงสิ่งที่ทำให้เราตื่น ตื่นจากความเห็นแก่ตัว เช่น ช่วยเพื่อนบ้านทาสีบ้านด้วยเครื่องพ่นสี เป็นต้น ตื่นจากความโลภโกรธและหลง อยากจะถามว่าพุทธรูปต่างๆนั้นช่วยให้คนตื่นขนาดไหน และเวลาที่เราไปกราบไหว้นั้นเรานึกถึงพระศาสดาคำสั่งสอนของท่านกันไหมหรือว่าติดอยู่กับที่รูปนั้น
ทำไมท่านพุทธทาสถึงกล่าวว่าพระธรรมก็อาจเป็นภูเขาหรือเป็นเครื่องกีดขวางธรรมมะได้เช่นกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ท่านพุทธทาสกล่าวว่าถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับคำภีร์หรือพระไตรปิฏก มัวแต่ท่องจำคำในตำราจนหลงลืมนำไปปฏิบัติ จึงทำให้เราหลงได้ ยกตัวอย่างคำพูดของพุทธทาสว่า พระอภิธรรมนั้นเป็นส่วนเกินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพุทธพจน์ ที่ท่านกว่าว่าพระอภิธรรมนั้นไม่ใช่พุทธพจน์นั้นเป็นเรื่องจริงที่สุดเพราะพุทธมาจากคำเทศนาหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าเอง จากถ้อยคำของท่านเอง และในชั้นต้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขรรค์ปรินิพพานแล้ว การสังคยนาครั้งแรกประมวลพระเถระและพระอรหันต์ห้าร้อยองค์มาสรุปตกลงกันว่าพระพุทธเจ้าได้เทศนาอะไรบัญญัคอะไรแล้วบ้าง เวลานั้นใช้คำว่าพระธรรมวินัย พระวินัยคือบทบัญญัติที่ทรงตราไว้ พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาในเรื่องนี้ ส่วนพระธรรมนั้นเป็นคำสอนที่พุทธเจ้าพูดทั่วๆไปเรียกว่าพระสูตร ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ได้ยินมาโดยพระอานนต์เป็นผู้วินิจฉัยในเรื่องนี้ จนการสังคยานาครั้งที่สามในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้มีพระอภิธรรมเข้ามาอีกนัยยะหนึ่งหมายถึงการประมวลคำสอนที่ลึกซึ้งที่พิศดาร จัดเป็นปิฎกที่สามเรียกว่าภิธรรมปิฎกไม่ใช่พุทธพจน์ แม้ออกมาจากพุทธพจน์จริงๆเราก็ต้องตรวจสอบ พุทธเจ้าตรัสสอนว่าแม้ว่าใครจะอ้างว่าคำสอนนี้เป็นคำสอนของพุทธองค์เองก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน นำไปประพฤติปฏิบัติเห็นตามนั้นก่อนแล้ว ถ้าดีจริงถึงเชื่อท่านได้ ท่านสอนอย่างท้าทายมาก
การที่พุทธทาสท่านกล่าวว่าพระพุทธ พระธรรม เป็นภูเขาแล้ว ก็ยังมีพระสงฆ์ที่ยังเป็นภูเขาไม่น้อยไปกว่ากัน ที่เห็นกันง่ายๆก็คือ ฆราวาสอย่างเราๆเหลือนับถือพระสงฆ์เพราะห่มจีวรหรือแล้วยังเหลือทำบุญกับพระสงฆ์ อีก เรายังนับถือพระสงฆ์ที่สอนเครื่องลางของขลังก็ทำให้เรายากที่จะเข้าถึงธรรมขั้นสูงสุดได้ แม้แต่ตัวพระสงฆ์เองถ้ามัวยึดติดนิกายหรือตัวตนของท่านเองจนทำให้เกิดความแตกร้าวทะเละวิวาสแบ่งแยกกัน พระสงฆ์ท่านนั้นก็ถือว่าเป็นภูเขา เพราะแท้ที่จริงแล้วพระธรรมที่อยู่ในพระสงฆ์ต่างหากที่จะทำให้บุคคลนั้นเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริง ใครก็ตามที่กำลังศึกษาพระพุทธศาสนาก็ลองสังเกตุด้วยว่าเป็นภูเขาตามที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้หรือไม่ เวลาทำงานหรือทำอะไรเช่นการทาสีบ้านเราด้วยเครื่องพ่นสีซ่อมแซมบ้านเราก็สามารถเรียนรู้สติกของเราให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ ทุกเวลาเราสามารถปฏิบัติทำได้ตลอดเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น